วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2550

ร่วมหยุดแปรรูปจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ร่วมหยุดแปรรูปจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
กมล กมลตระกูล
การคอรัปชั่นทางนโยบายเป็นตราบาปของสังคมไทยมานาน และมาทวีความรุนแรงสูงสุดในยุครัฐบาลทักษิณ โดยมีตัวอย่างรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดคือการแปรรูปการท่าอากาศยาน ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการสนามบินสุวรรณภูมิอัปยศที่เป็นมรดกบาปให้คนไทยต้องอับอายขายหน้าไปทั่วโลกอีกไม่ต่ำกว่า 100 ปี จนกว่าสนามบินจะพัง และจะต้องถมเงินลงไปอีกมากกว่าสร้างสนามบินใหม่อีก 2-3 สนามในระยะยาว
ร่างพ.ร.บ.จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่กำลังพิจารณากันอยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติในขณะนี้จะกลายเป็น “มรดกบาป” อีกชิ้นหนึ่งที่จะสร้างความหายนะให้กับสังคมไทยอย่างไม่มีทางเยียวยาได้อีก เพราะว่าสถาบันและทรัพย์สินที่เป็นป้อมปราการทางปัญญาของชาติจะถูกแปรรูปเป็นองค์กรธุรกิจที่แสวงหาประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์ใจกลางเมืองที่มีมูลค่าหลายแสนล้านบาท แทนที่จะเป็นป้อมปราการทางปัญญาที่มีจุดมุ่งหมายรับใช้คนทั้งชาติทางด้านให้การศึกษาอย่างเท่าเทียมกันเพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีปัญญาและคุณธรรมให้กับสังคม
หลักการและเหตุผลของร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ระบุว่าต้องการปรับปรุงการศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการที่เป็นอิสระและมีความคล่องตัว มีคุณภาพและประสิทธิภาพและความเป็นเลิศทางวิชาการ
หลักการและเหตุผลนี้ขาดประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ การให้บริการการศึกษาอย่างเท่าเทียมกันโดยไม่คำนึงถึงการหากำไร เพราะว่าทรัพย์สินและงบประมาณนั้นมาจากเงินภาษีอากรของประชาชน ประสิทธิภาพและความเป็นเลิศของคนกลุ่มน้อยหรือ อภิสิทธิ์ชนที่มีโอกาสมีแต่จะสร้างช่องว่างและความแตกแยกในสังคม ความเท่าเทียมทางการศึกษาจึงควรจะเป็นเหตุผลหลัก ถ้าหากว่าจะมีการแปรรูปกัน
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความพร้อมที่สุดที่จะนำรายได้และที่ดินมาพัฒนาเป็นมหาวิทยาลัยแห่งการวิจัยและพัฒนา(R&D)แห่งชาติเพราะว่ามีความพร้อมที่สุดทั้งด้านบุคคลากร รายได้ และพื้นที่ แต่ก็ไม่ได้อยู่ในวิสัยทัศน์ของร่างพ.ร.บ.นี้ มีแต่คิดจะนำที่ดินมาให้เอกชนหารายได้เชิงพาณิชย์
นอกจากนี้ยังไม่มีการพูดถึงหลักการสวัสดิการและผลตอบแทนของอาจารย์อย่างเป็นธรรมเหมือนอัยการ หรือ ผู้พิพากษา
การเมืองแทรกมหาวิทยาลัย
ร่างพ.ร.บ.นี้ โยงเอาสถาบันที่เป็นปราการทางปัญญาของชาติไปผูกกับการเมือง โดยมอบให้ร.ม.ต.เป็นผู้รักษาการในมาตรา 52 และในมาตรา 15 ยังมอบอำนาจให้การโอนจากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของจุฬาฯที่ ต.ปทุมวัน จ.พระนครให้กระทำได้โดยการออกพระราชบัญญัติ
ทรัพย์สินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยซึ่งได้มาจากเงินบริจาคของราษฎรที่เหลือจากสร้างอนุสาวรีย์ พระบรมรูปทรงม้ารวมกับการบริจาคของพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 จะต้องกำหนดให้เป็นสมบัติสาธารณะอย่างถาวรคู่กับแผ่นดินไทย มิใช่ให้ถ่ายโอนได้โดยนักการเมือง
มีบทเรียนที่เป็นตราบาปมาแล้วในยุคของรัฐบาลทักษิณคือการออกพ.ร.บ. และ พ.ร.ฎ. ที่ขายชาติขายแผ่นดินหลายฉบับ
ร.ม.ต.นั้น เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ทางการเมืองและอยู่ชั่วคราว บางคนก็ไม่มีความรู้ทางด้านการศึกษามาก่อนอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากว่าให้อำนาจมากำกับมหาวิทยาลัยแล้วอนาคตของชาติมิวังเวงหรือ
ด้านการบริหาร
การกำกับมหาวิทยาลัยควรใช้ระบอบประชาธิปไตยที่โปร่งใสโดยการตั้งสมัชชามหาวิทยาลัยที่ประกอบด้วยอาจารย์และฝ่ายบริหารทุกคนของมหาวิทยาลัยเป็นสมาชิกและเป็นผู้ใช้เสียงข้างมากเลือกกรรมการสภามหาวิทยาลัยมาเป็นฝ่ายบริหาร โดยการกำหนดบรรทัดฐานและคุณสมบัติของนักบริหารมืออาชีพมาใช้และไม่จำเป็นต้องเป็นคนในมหาวิทยาลัย และไม่จำเป็นต้องใช้ดุษฎีบัณฑิตเป็นคุณสมบัติ เพราะว่าการบริหารกับปริญญาเอกเป็นคนละเรื่องกัน และได้สร้างปัญหามาก่อน เช่น ให้ นักสังคมศาสตร์ นักรัฐศาสตร์ นักกฎหมาย นักบัญชีสถาปนิก หมอ นักวิทยาศาสตร์ หรือวิศวกรมาเป็นผู้บริหาร ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มิใช่นักบริหารที่เรียนมาทางบริหารองค์กร มหาวิทยาลัยทุกแห่งจึงไร้ประสิทธิภาพ และด้อยพัฒนา มิใช่ว่าไร้ประสิทธิภาพเพราะว่าอยู่ในระบบราชการอย่างที่ชอบอ้างกัน
สมัชชามหาวิทยาลัยมีอำนาจตรวจสอบและเป็นผู้กำหนดนโยบายและกำกับกรรมการสภามหาวิทยาลัย มิใช่อย่างที่กำหนดไว้ในร่างที่ไม่โปร่งใสทั้งเรื่องกระบวนการคัดเลือกและการตรวจสอบ
ในอเมริกาใช้ระบบประมูลตัวหรือเสนอชื่อซีอีโอที่มีความสามารถ แล้วทาบทามเข้ามาเป็นผู้บริหาร ที่ถูกควรจะต้องแยกการบริหารทั่วไปออกจากการบริหารทางวิชาการ
ปัญหาความล้าหลัง และไร้ประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัยไทยที่ผ่านมาเกิดจากการไม่แยกตำแหน่งบริหารออกจากกัน แต่ให้นักวิชาการซึ่งไม่เชี่ยวชาญด้านวิธีบริหารการเงิน การพัศดุ ไม่เชี่ยวชาญด้านการจัดการบุคคลากร ไม่เชี่ยวชาญเรื่องกฏระเบียบ การวางแผนปฏิบัติการ ซึ่งเป็นศาสตร์อีกศาสตร์หนึ่งมาเป็นฝ่ายบริหาร
ในร่างพ.ร.บ.นี้ยังย่ำเท้าอยู่กับที่ โดยกำหนดคุณสมบัติของอธิการบดีไว้ว่าต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาเอกหรือเทียบเท่า แทนที่จะกำหนดจากคุณสมบัติของการเป็นนักบริหารองค์กรที่มีผลงานที่พิสูจน์และเป็นที่ยอมรับมาแล้วอย่างภาคเอกชน
ผมเคยทำงานอยู่ในต่างประเทศ เมื่อมีการเปิดรับสมัครตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงหรือซีอีโอแล้วมีผู้สมัครที่มีปริญญาเอก หรือดุษฎีบัณฑิตสมัครมาแข่งด้วย ทางบริษัทจะจัดลำดับผู้ได้ดุษฎีบัณฑิตไว้รั้งท้ายสุดในการเรียกมาสัมภาษณ์ เพราะเขาพิจารณาว่า พวกนี้ไม่สามารถสื่อสารกับคนรอบข้างได้ อาจจะเก่งแต่ในห้องเรียน หรือในห้องแลป(ทดลองวิจัย)เท่านั้น โดยเฉลี่ยแล้วไม่สามารถจะบริหารองค์กรที่มีบุคลากรมากมายได้ สถาบันการศึกษาไทยจึงล้าหลังในด้านนี้ที่กำหนด คุณสมบัติของอธิการบดีไว้ว่าต้องสำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่าปริญญาเอกหรือเทียบเท่า ซึ่งเป็นการล๊อกสเป๊กที่แย่มากเหมือนกับการล๊อกสเป๊กว่า ส.ส จะต้องจบปริญญาตรี
ในมาตรา 72 กำหนดให้ผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดี รองอธิการบดี และผู้ช่วยอธิการบดีเดิมดำรงตำแหน่งต่อไปได้อีก 6 เดือน เมื่อเริ่มใช พ.ร.บ. นี้ ซึ่งหมายความว่าในช่วง 6 เดือนนี้ ผู้บริหารสามารถลงนามทำธุรกรรม หรือทำสัญญาที่มีมูลค่าเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาทได้ ก่อนพ้นตำแหน่ง
กรณีการจัดซื้อรถดับเพลิงฉาวของ ก.ท.ม. อดีตผู้ว่า ก.ท.ม. ลงนามจัดซื้อในวันสุดท้ายที่ตนดำรงตำแหน่งซึ่งสร้างปัญหาและคดียังสอบสวนกันอยู่จนถึงทุกวันนี้
ในมาตรา 19 ไม่มีการกำหนดวาระการพ้นตำแหน่ง กำหนดไว้เพียงดำรงตำแหน่งคราวละ 4 ปี แต่อาจได้รับแต่งตั้ง ได้รับเลือกตั้งใหม่อีกได้ ซึ่งหมายความว่าอาจจะผูกขาดไว้ตลอดชีพได้ เพราะก.ม. ไม่ได้ห้ามไว้
ในกรณีพ้นจากตำแหน่งก็ระบุอย่างมีเลศนัย เช่น ต้องเคยถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ซึ่งแปลว่า ถ้าถูกฟ้องคดีแพ่ง คดีฉ้อโกง คดีผิดลูกเมียผู้อื่น(พนักงานสาวของมหาวิทยาลัย) ซึ่งเป็นคดีแพ่งที่ไม่มีโทษจำคุก หรือ ถูกคดีที่ศาลสั่งรอลงอาญา ก็ยังดำรงตำแหน่งอยู่ต่อไปได้
มาตรา 18 กำหนดให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยมีเพียง 15 คน โดยไม่ได้ระบุชัดเจนแต่บอกไว้เพียงว่าให้เป็นไปตามข้อบังคับของมหาวิทยาลัย ซึ่งจะเขียนไว้อย่างไรก็ได้
สิ่งที่ควรจะกำหนดไว้ คือ กรรมการสภามหาวิทยาลัยจะต้องมาจากการเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากของอาจารย์ทั้งมหาวิทยาลัยซึ่งประกอบเป็นสมัชชามหาวิทยาลัย
ด้านสิทธิของอาจารย์และพนักงานของมหาวิทยาลัย
มาตรา 12 กำหนดว่า กิจการของมหาวิทยาลัยไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงาน กฎหมายว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์ กฎหมายว่าด้วยการประกันสังคม และกฎหมายเงินทดแทน
หากมีการนำ พ.ร.บ. นี้มาใช้ ก็แปลว่า อาจารย์ทุกคนมีสิทธิ์ถูกลอยแพเมื่อไรก็ได้ คนอย่างอาจารย์ ใจ อึ๊งภากรณ์ คงจะอยู่ไม่ได้ แม้ว่าต้องการจะอยู่ เพราะขาดกฎหมายแรงงานคุ้มครอง ความเป็นอิสระ และเสรีภาพทางวิชาการ บทบาทของการเป็นผู้นำทางปัญญาของสังคมที่คอยช่วยถ่วงดุลการดำเนินนโยบายที่ไม่ถูกต้องของรัฐบาลหรือฝ่ายบริหารก็จะถูกบังคับให้สิ้นสุดลงด้วยการที่ขาด กฎหมายมาคุ้มครอง อาจารย์จะมีสภาพเหมือนอยู่ใน Animal farm หรือสัตว์ในคอกของฝ่ายบริหาร
ด้านการบริหารจัดการทรัพย์สิน
มาตรา 13 กำหนดให้ มหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ ซื้อ ขาย จ้าง รับจ้าง จัดหา โอน รับโอน ให้เช่า เช่าซื้อ ให้เช่าซื้อ แลกเปลี่ยน และจำหน่าย หรือทำนิติกรรมใดๆตลอดจนถือกรรมสิทธิ์ มีสิทธิครอบครอง หรือมีทรัพย์สิทธิ์ต่างๆในทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยหรือมีสิทธิในหรือหาประโยชน์จากทรัพย์สินทางปัญญาและจำหน่ายทรัพย์สินทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร
มาตรา 13 (4) กู้ยืมเงินโดยมีหลักประกันด้วยบุคคลหรือทรัพย์สินและการลงทุนหรือการร่วมทุน
การกำหนดเช่นนี้หมายความว่ามหาวิทยาลัยสามารถนำอสังหาริมทรัพย์ไปจำนองหรือจำนำหรือค้ำประกันเงินกู้ หรือค้ำประกันการร่วมทุนได้ หากว่าการร่วมทุนนั้นขาดทุน ทรัพย์สินของแผ่นดินก็ถูกยึดออกไปขายถูกๆได้ มีบทเรียนจากการพังพินาศของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเชื้อประทุเป็นวิกฤติเศรษฐกิจ ปี 2540 ที่น่าจะได้เรียนรู้และจดจำกัน
มาตรา 13 (8) จัดตั้งหรือร่วมกับบุคคลอื่นในการจัดตั้งองค์กรที่เป็นนิติบุคคล รวมตลอดถึงการลงทุนหรือร่วมลงทุนกับบุคคลหรือนิติบุคคลใด เพื่อดำเนินกิจการที่เกี่ยวกับหรือต่อเนื่องกับกิจการของมหาวิทยาลัยหรือนำผลการค้นคว้าวิจัยไปเผยแพร่ หรือหาประโยชน์เพื่อเป็นรายได้ของมหาวิทยาลัย
มาตรานี้เปิดช่องให้นำทรัพย์สินของมหาวิทยาลัยไปร่วมหารายได้กับบุคคลภายนอกซึ่งเปิดช่องให้มีการคอรัปชั่นได้อย่างกว้างขวาง โดยวิธีการทำนิติกรรมอำพราง
มาตรา 14 เขียนไว้เช่นเดียวกับ พ.ร.บ. องค์การมหาชน คือ รัฐบาลพึงจัดสรรให้แก่มหาวิทยาลัยโดยตรงเป็นจำนวนที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัย
แต่ รายได้ของมหาวิทยาลัยไม่เป็นรายได้ที่ต้องนำส่งกระทรวงการคลังตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฏหมายว่าด้วยงบประมาณ
มาตรานี้ได้ซ่อนเงื่อนไว้ให้เกิดการคอรัปชั่นโดยการนำเงินไปใช้จ่ายได้ตามสบายเพราะว่าไม่ต้องทำตามกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลังและกฏหมายว่าด้วยงบประมาณ เพราะว่า ตามพ.ร.บ.นี้ มหาวิทยาลัยเป็นนิติบุคคล รัฐจะเข้ามายุ่มย่ามกำหนดนโยบายไม่ได้อย่างง่ายๆ แต่ต้องผ่านขั้นตอนมากมาย หรือ ต้องใช้อำนาจศาล
ด้านการตรวจสอบ
ด้านการตรวจสอบ ก็ยังไม่วายมีการวางหมากเอาไว้ โดย มาตรา 48 กำหนดให้สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(ส.ต.ง.) หรือ บุคคลภายนอกซึ่งสภามหาวิทยาลัยแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน
ประเด็นสำคัญที่หมกเม็ดไว้ คือ หรือ บุคคลภายนอกที่สภามหาวิทยาลัยแต่งตั้ง ไม่จำเป็นต้องเป็นสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินก็ได้ ทั้งนี้เพราะเขียนไว้ให้เลือกใช้มิใช่บังคับไว้ว่าต้องให้ส.ต.ง. เป็นผู้ตรวจสอบ ดังนั้นจึงเปิดช่องให้จ้างสำนักบัญชีที่มีความสัมพันธ์กับฝ่ายบริหารมาเป็นผู้ตรวจสอบ แล้วจะได้ความจริงออกมาได้อย่างไร
สรุป
ทางออกของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในการปรับปรุงประสิทธิภาพและความเป็นเลิศใน พ.ร.บ.ใหม่ คือ
1.จะต้องกำหนดให้ กรรมสิทธิ์ทุกประการของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นของรัฐอย่างถาวร และตลอดไป มิใช่เป็นนิติบุคคล หรือ องค์การมหาชน
2. ส่วนด้านการบริหารก็ใช้วิธีการของระบอบประชาธิปไตยโดยการให้อาจารย์และฝ่ายบริหารทั้งมหาวิทยาลัยเป็นสมาชิกสมัชชาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วเป็นผู้เลือกอธิการบดี เลือก กรรมการสภา และเลือกกรรมการตรวจสอบการเงิน กรรมการประเมินผลงาน และกรรมการอื่นๆ
3.ส่วนรายได้ที่เหลือจากการพัฒนาด้านการศึกษา การอุดหนุนการวิจัย การอุดหนุนนิสิตก็ต้องส่งเข้าคลัง
4. เกณฑ์ของเงินเดือนของอาจารย์ควรจะเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์ของอัยการ หรือ ผู้พิพากษาแทน
5. มหาวิทยาลัยควรขยายพื้นที่สร้างห้องทดลองและรับงานวิจัยและทดลอง(R&D)จากภาคเอกชนเพื่อนำรายได้เข้ามหาวิทยาลัยและจ่ายผลตอบแทนให้อาจารย์และพนักงานอย่างเป็นธรรมกับสมกับความเป็น “มันสมอง” ของชาติ โดยเฉพาะใน ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์การแพทย์ เทคโนโลยี่ชีวภาพ ฯลฯ เพื่อจะได้กลายเป็นเสาหลักในการพัฒนาประเทศทางด้านอุตสาหกรรมและด้านเทคโนโลยี่อื่นๆ
6. การพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ควรสร้างเป็นเมืองมหาวิทยาลัย (University town ) ที่เน้นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา เช่น ถนนหนังสือ โดยคิดค่าเช่าถูกๆให้กับสำนักพิมม์มาเปิดร้านเพื่อขายหนังสือในราคาถูก เพราะปัจจุบันร้านหนังสือถูกผูกขาดไปแล้ว สำนักพิมพ์เล็กๆอยู่ไม่ได้ นอกจากนี้ก็ควรจะส่งเสริมธุรกิจหรือสำนักงานที่เกี่ยวข้องกับ การวิจัยและทดลอง (R&D) ด้วย มิใช่ธุรกิจฟุ่มเฟือยและการบันเทิงอย่างที่เป็นอยู่

FTA ไทย-สหรัฯมีแต่เสียกับเสีย

FTA ไทย-สหรัฐฯ : มีแต่เสียกับเสีย
กมล กมลตระกูล
เมื่อวันที่ 17-18 มกราคม 2550 นี้ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) ได้ร่วมกันจัดสัมมนาในหัวข้อ “ข้อตกลงการค้าเสรี ไทย-สหรัฐฯ ผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน” ที่โรงแรม อมารีวอเตอร์เกท กรุงเทพฯ
นักวิชาการ เช่น ดร. จักรกฤษณ์ ควรพจน์ ดร. จิราพร ลิ้มปานานนท์ ดร.สุริชัย หวันแก้ว นาย จอน อึ๊งภากรณ์ นาย บัณฑูร เศรษฐศิโรตม์ และ ดร.ลาวัณย์ ถนัดศิลปกุล ที่มานำเสนอหัวข้อผลกระทบในด้านต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งจะมีผลผูกมัดประเทศ ผูกมัดประชาชนไปอีกชั่วนาตาปี และนำประเทศไปสู่การเป็นเมืองขึ้นอย่างสมบูรณ์แบบ โดยที่อธิปไตยและความเป็นเอกราชของชาติมีเหลืออยู่เพียงแค่เปลือกหรือชื่อเท่านั้น
เอฟทีเอ หรือ ข้อตกลงเขตการค้าเสรีนั้นก็คือ การที่สองประเทศหรือมากกว่านั้น หรือทั้งภูมิภาคตกลงจัดตั้ง “เขตการค้า ” เพื่อส่งเสริมการเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุนระหว่างกัน โดยการลดภาษีหรือมาตรการที่เป็นอุปสรรคต่อการขยายตัวของการค้าและการลงทุนระหว่างกัน
ส่งเสริมให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในวิสาหกิจต่างๆ มากขึ้น ลดบทบาทภาครัฐในการดำเนินกิจการต่างๆ ลง แล้วเปิดกว้างให้ภาคธุรกิจเอกชนขนาดใหญ่เข้ามาแทนที่ พร้อมทั้งปรับปรุง ยกเลิกกฎหมาย กฎเกณฑ์ต่างๆ ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ ที่เห็นว่าเป็นอุปสรรค ขัดขวางการค้า การลงทุนของต่างชาติให้ลดลง หรือขจัดให้หมดไป
เอฟทีเอที่ลงนามกันระหว่างประเทศที่มีอำนาจต่อรองใกล้เคียงกันและมีเป้าหมายเพื่อก่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันและตอบแทนกันก็เป็นเรื่องที่ดี
เอฟทีเอในระดับภูมิภาคเพื่อสร้างอำนาจต่อรองร่วมกันกับประเทศมหาอำนาจก็เป็นเรื่องที่ดีและควรจะทำ

สนธิสัญญาบาวริ่งยุคใหม่
ในกรณีการทำข้อตกลง FTA ไทย-สหรัฐฯ สหรัฐฯได้ตั้งเงื่อนไขแกมบังคับว่าต้องเจรจาครบทั้ง 23 หัวข้อ ไทยจะเลือกหรือขอยกเว้นไม่เจรจาบางหัวข้อที่เราไม่พร้อมไม่ได้ เช่น หัวข้อเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาที่สหรัฐฯเรียกร้อดง และการเปิดเสรีภาคบริการ การจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ การคุ้มครองการลงทุน
การที่สหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญและกระตือรือร้นมากในการทำเอฟทีเอเช่นนี้ ดร.จักรกฤษณ์ ควรพจน์ แห่งสาขาวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชได้อธิบายว่า
“เพราะสหรัฐอเมริกานั้นตระหนักดีว่าการเจรจาในเวทีองค์การการค้าโลกไม่มีความแน่นอน หลายประเด็นในการเจรจาได้แบ่งแยกประเทศสมาชิกออกเป็นฝักฝ่าย ยากที่จะหาทางประนีประนอมให้ได้ผลยุติ อีกทั้งประเด็นการเจรจาส่วนใหญ่ก็มิได้ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ ในทางตรงกันข้าม หากมีการเจรจาสำเร็จในหลายประเด็นกลับจะทำให้สหรัฐฯ เสียประโยชน์มากกว่า เช่น เรื่องการลดการอุดหนุนและเลิกทุ่มตลาดสินค้าเกษตรฯ เรื่องมาตรการบังคับใช้สิทธิบัตรยา และการคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ เป็นต้น”
ดังนั้น การทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีทั้งในแบบทวิภาคีคือ ตัวต่อตัวหรือในแบบทั้งภูมิภาค จึงเป็นหนทางเดียวที่สหรัฐฯ จะสามารถใช้อิทธิพลผลักดันกติการะหว่างประเทศที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของตัวเองได้ และยังได้ผลพวงที่สำคัญตามมาด้วยคือ เป็นการสลายพลังของพันธมิตรกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ทั้งนี้ก็เพราะแต่ละประเทศต้องหันมาสนใจกับการเจรจาต่อรองตัวต่อตัวกับสหรัฐอเมริกาเป็นสำคัญ”

มีลับลมคมนัย
ในการเจรจากับไทยสหรัฐฯยังตั้งเงื่อนไขไม่ให้เปิดเผยเอกสารข้อเรียกร้องของฝ่ายสหรัฐฯต่อสาธารณชน และให้กำหนดเรื่องการรักษาความลับในการเจรจาตามกฎหมายว่าด้วยการรักษาความลับของแต่ละฝ่าย ซึ่งคณะเจรจาฯของไทยได้พิจารณากำหนดเป็นชั้นลับตาม พ.ร.บ. ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณฯจึงไม่สามารถเปิดเผยเอกสารข้อเรียกร้องของฝ่ายสหรัฐฯได้

ข้ามหัวรัฐสภา
ในขณะเดียวกันข้อตกลงในการเจรจานี้จะต้องผ่านการลงมติเห็นชอบโดยรัฐสภาอเมริกันก่อนจึงจะมีผลบังคับใช้ แต่ของไทยกลับเป็นตรงกันข้าม คือ เมื่อลงนามแล้วมีผลบังคับเลยทั้งๆที่ข้อตกลงหลายๆหัวข้อไทยต้องแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้อง หรือมีผลในการ “เปลี่ยนแปลงเขตอำนาจรัฐ” ซึ่งขัดกับมาตรา 224 ของรัฐธรรมนูญ 2540

ลดอำนาจศาลไทย
สหรัฐฯเรียกร้องให้ใช้วีธีอนุญาโตตุลาการระงับข้อพิพาท ระหว่างรัฐกับรัฐ และ รัฐกับเอกชน คือเอกชนสหรัฐฯสามารถฟ้องรัฐไทยได้ในศาลไทย หรือถ้าไม่พอใจก็สามารถเสนอให้อนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศตัดสินแทน (ไทยเสียเขาพระวิหารไปก็เพราะไปยอมขึ้นศาลโลกซึ่งมีความลำเอียง)
ไม่เพียงแค่นั้นสหรัฐฯต้องการให้ใช้ระบบนี้ในกรณีก่อนการเข้ามาลงทุนหรือเพียงแค่แสดงเจตนาว่าจะเข้ามาลงทุนแล้วหากอ้างว่าเกิดความเสียหาย หรือไม่ได้รับความสะดวกก็อาจจะฟ้องอนุญาโตตุลาการเรียกค่าเสียหายจากรัฐบาลไทยได้

แย่งอาชีพคนไทยข้างเดียว
สหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยเปิดเสรีบัญชี 1 ใน พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 แต่สหรัฐฯกลับไม่เปิดเสรีให้แรงงานไทยไปทำงานในอเมริกา จึงเป็นการเรียกร้องที่เอาแต่ได้ และเป็นฝ่ายได้ข้างเดียว
เพียงแค่ประเด็นเหล่านี้ ถ้ารัฐบาลไทยยอมลงนามก็เท่ากับการลงนามยอมรับการเป็นเมืองขึ้นของสหรัฐฯโดยปริยาย
อันที่จริงประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์การค้าโลก ซึ่งต้องดำเนินนโยบายการค้าเสรีตามกรอบกติกาขององค์การค้าโลกอยู่แล้ว การทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศมหาอำนาจซึ่งมีอำนาจต่อรองสูงกว่านั้น มีแต่ประเทศไทยจะเสียเปรียบ สิ่งที่ได้มา เช่น เรื่อง ร้านอาหารไทย เรื่องนวดแผนโบราณ เรื่องสปา กับสิ่งที่จะต้องแลกนั้นไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เสมือนกับการเอาทองคำไปแลกเกลือ เช่นประเด็นข้างต้นในเรื่องการเปิดตลาดผลไม้ซึ่งมีมูลค่าจิ๊บจ้อย เพื่อแลกกับการสูญเสียอำนาจตุลาการ และ การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐในเรื่องการคุ้มครองการลงทุน
ประเด็นการคุ้มครองการลงทุน
ในเรื่องการคุ้มครองการลงทุน ประเทศไทยควรจะศึกษาบทเรียนข้อตกลงนาฟต้า หรือข้อตกลงเขตการค้าเสรีของทวีปอเมริกาเหนือ ระหว่างสหรัฐฯ เม๊กซิโก และแคนาดา ซึ่งตีความการคุ้มครองการลงทุน หมายถึงการห้ามการยึดหรือริบกิจการโดยรัฐทั้งทางตรงและทางอ้อม และทั้งสองประเทศนี้ถูกบริษัทอเมริกันฟ้องเรียกค่าเสียหายไปจำนวนมากแล้ว
การยึดหรือริบกิจการโดยรัฐทางตรงนั้นสูญพันธุ์ไปจากโลกนานแล้ว ประเด็นที่เหลืออยู่ คือ การริบหรือยึดกิจการโดยรัฐทางอ้อม ( Indirect expropriation) ในสัญญานาฟต้า ได้เปิดช่องให้ตีความได้อย่างกว้างขวาง เป็นการลิดรอนจำกัดอำนาจของรัฐไม่ให้ปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของสาธารณะ เช่น การห้ามการลงทุนในพื้นที่อนุรักษ์ เขตป่าสงวน หรือ อุทธยานแห่งชาติ หรือในเขตที่ชุมชนคัดค้าน ก็อาจจะเข้าข่ายการริบหรือยึดกิจการโดยรัฐทางอ้อม
การปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของสาธารณะสามารถถูกตีความได้ว่าเป็นการการริบหรือยึดกิจการโดยรัฐทางอ้อม ซึ่งเอกชนสามารถฟ้องร้องอนุญาโตตุลาการเพื่อเรียกร้องความเสียหายได้อย่างไม่จำกัดจากรัฐได้ เช่น การประเมินความสูญเสียรายได้ในอนาคตข้างหน้า ๕๐-๑๐๐ ปี แล้วคิดเป็นมูลค่าความเสียหายที่รัฐต้องชดใช้ ประเทศไทยอาจจะถูกฟ้องล้มละลายเอาได้ง่ายๆ อย่าได้ประมาทเชียว
นอกจากนี้ ในมาตรา 5.4 ของเอฟทีเอในด้านการลงทุนยังกำหนดว่า
“ไทยต้องรับผิดชอบในความสูญหาย เสียหายใดๆ แม้ว่าจะเกิดขึ้นจากเหตุสุดวิสัย เช่น สงครามกลางเมือง การจราจล รัฐบาลไทยก็ต้องรับผิดชอบโดยไม่มีข้อยกเว้น”
นอกจากนี้แม้กระทั่ง ความตั้งใจ หรือ การมีแผนจะเข้ามาลงทุน( Pre- establishment) ก็ตีความว่า เป็นการลงทุนแล้ว ถ้าหากว่าถูกกีดกันก็สามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากรัฐได้ เช่นเดียวกัน
ในเรื่องการเวนคืนเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ มาตรา 6.2b ของการเจรจาก็ระบุว่า “การชดเชยต้องกระทำการโดยทันที ไม่ล่าช้าและก่อนการเวนคืนในวันนั้น ในราคาตลาดตามมูลค่าของทรัพย์ที่ถูกเวนคืนนั้น โดยห้ามเปลี่ยนแปลงมูลค่าใดๆ และการชดเชยต้องสามารถนำเงินส่งออกนอกประเทศได้โดยเสรี และต้องชดเชยพร้อมดอกเบี้ยในอัตราที่เหมาะสม
ด้านทรัพย์สินทางปัญญา
ในด้านทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่ง นางบาร์บารา ไวเซล ผู้แทนเจรจาของสหรัฐฯ ยืนยันอย่างเด็ดขาดว่า ประเด็นเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาจะเอาออกจากการเจรจาไม่ได้นั้น ถ้าหากว่าประเทศไทยยอมรับ ไม่ยอมเอาประเด็นนี้ ออกจากการเจรจา ผลเสียหายที่จะตามมาต่อผลประโยชน์ของประเทศ ต่อ เกษตรกร และผู้ป่วยจะมีอย่างมหาศาลและต้องกลายเป็นลูกไล่ตลอดกาล โดยที่สหรัฐฯ เรียกร้องดังนี้
๑. ให้ขยายการคุ้มครองลิขสิทธิ์จากปัจจุบัน ๕๐ ปี หลังจากเจ้าของผลงานเสียชีวิต เป็น ๗๐ ปี
๒. ให้ขยายการคุ้มครองสิทธิบัตรให้ครอบคลุมสิ่งมีชีวิตทุกประเภท ทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์
๓. ให้ประเทศคู่เจรจาเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ( UPOV 1991)
๔. การคุ้มครองเครื่องหมายการค้าให้รวมถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น กลิ่น สี เสียง
๕. ให้เข้าร่วมในสนธิสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางสิทธิบัตร ( Patent Co-operation Treaty-PCT) ซึ่งกำหนดให้หน่วยงานสิทธิบัตรของประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นผู้รับคำขอจดสิทธิบัตร ตรวจสอบ และอนุมัติ โดยมีผลบังคับในประเทศที่กำลังพัฒนาได้เลย ไม่ต้องมาขอจดใหม่อีกครั้งหนึ่ง
รายละเอียดของข้อตกลงนี้ยังมีอีกมากมาย แต่เฉพาะ ๕ ข้อนี้ ประเทศกำลังพัฒนาก็ต้องเป็นลูกไล่จ่ายค่าหัวคิวไปแทบจะตลอดชาติแล้ว เพราะว่าร้อยละ ๙๗ ของเจ้าของสิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์ ล้วนคือประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังมีข้อมัดมือชกในมาตรา 5 กำหนดให้ไทยต้องรับผิดชอบทุกประการ หากไม่คุ้มครอง หรือคุ้มครองบกพร่อง หรือไม่มีประสิทธิภาพในการใช้กฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา และอาจจะต้องชดเชยเช่นเดียวกับเรื่องการเวนคืน หรือ การยึดทรัพย์
ต่อไปรถแท๊กซี่ที่นำมาบริการหากินหารายได้ก็ต้องจ่ายค่า “ลิขสิทธิ์” การออกแบบรถ และค่าสิทธิบัตรของเครื่องยนต์ เช่นเดียวกับเรื่องซีดีเพลงและซอฟแวร์ที่นำไปเปิดในร้านคาราโอเกะแล้วถูกไล่จับ โดยอ้างว่าห้ามนำสินค้าไปทำให้เกิดรายได้
ต่อไปเอาเสื้อแบรนด์เนมให้น้องขอยืมใส่ ก็ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ เหมือนกับการก๊อปปี้ซอฟแวร์ใส่อีกเครื่องหนึ่งในบ้าน
ปัญหาเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา มิใช่อยู่ที่ จ่าย หรือไม่จ่าย คุ้มครองหริอไม่คุ้มครอง แต่ประเด็นที่แท้ คือ “ ความยุติธรรม และเงื่อนไขที่เหมาะสมเป็นธรรม ไม่ผูกขาดค้ากำไรเกินควร”
ประเด็นการคุ้มครองลิขสิทธิ์ จาก ๕๐ ปีหลังเจ้าของผลงานเสียชีวิต ก็ถือว่านานเกินไปแล้ว แต่ยังขยายเป็น ๗๐ ปี อีก ซึ่งเป็นการผูกขาดความรู้ กีดกันการถ่ายเทวิทยาการ และวัฒนธรรม ทำให้เกิดการผูกขาดการค้าและการค้ากำไรเกินควร ทำให้เกิดช่องว่างและความแตกต่างในโลก ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้ง ความไม่เข้าใจ และสงครามในที่สุด
สหรัฐฯไม่ได้เปิดตลาดแรงงานแก่ไทย แต่คนอเมริกันเข้าไทยได้อย่างเสรี โดยเฉพาะเมื่อเข้ามาลงทุน การลงนาม FTA กับสหรัฐฯจึงเป็นการได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว
ในด้านการใช้กฎแหล่งกำเนิดสินค้า (Rules of Origin) ทำให้ไทยเสียเปรียบ เพราะสินค้าส่งออกของไทยที่ส่งไปสหรัฐฯ เช่น ปลาทูน่า กระป๋อง ปลาหมึกกระป๋อง สิ่งทอ ล้วนใช้วัตถุดิบนำเข้า จึงไม่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงFTA นี้
สหรัฐฯยังมีมาตรการอื่นๆในการปกป้องการค้าของตน เช่น มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี(Non-tariff Barrier-NBTs) มาตรการบังคับข้างเดียว( Unilateral Measures) มาตรการสุขอนามัย (SPS) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping Measures)
ประเด็นเรื่องการใช้มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี โดยเฉพาะในกรณีมาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช ซึ่งในรายงานการศึกษาของที่สัมมนา ได้ระบุถึงปัญหาของการที่สินค้าส่งออก ผัก ผลไม้ และอาหารทะเลของไทย ถูกสหรัฐฯกักถึง 1,340 ครั้งในปี 2001 ทำให้เกิดปัญหาความยากจนในภาคเกษตรอย่างรุนแรง จากการใช้มาตรการด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary Measures : SPS )


เรื่องสิทธิบัตรยา
สหรัฐฯเรียกร้องให้ไทยให้สิทธิบัตรวิธีการวินิจฉัยโรค การรักษาผู้ป่วย และการผ่าตัด ซึ่งประเด็นเหล่านี้ไม่เคยมีประเทศไหนยอมให้มีการจดสิทธิบัตรนี้ แต่สหรัฐฯเห็นว่าประเทศไทยเป็น “ลูกไล่” และข้าราชการไทยขาดจิตสำนึกรักชาติจึงได้บีบมา หากว่าไทยยอม นอกจากค่ายาจะแพงแล้วคนป่วยยังต้องมาจ่ายค่าวิธีการวินิจฉัยโรค ค่าเทคนิกการผ่าตัดอีก
สหรัฐฯเรียกร้อง ไม่ให้มีการคัดค้านคำขอรับสิทธิบัตรก่อนการออกสิทธิบัตร นั่นคือ การไม่ยอมให้มีการตรวจสอบจากสาธารณะก่อนการออกสิทธิบัตร หากจดไม่ได้หรือมีการเพิกถอนทีหลัง ก็ได้ผูกขาดไปแล้วหลายปี และคนป่วยก็ต้องจ่ายค่ายาแพงไปล่วงหน้า
จำกัดการใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิผลิตยาเองในกรณีฉุกเฉิน
ผูกขาดข้อมูลยาใหม่อีก 5 ปี
ในเรื่องสิทธิบัตรยาก็ต้องการให้ขยายเวลาการคุ้มครองออกไปอีก ๕ ปี จาก ๒๐ ปีในกรณีที่การขอจดได้รับอนุมัติช้า นอกจากนี้ยังไม่มีบทลงโทษการนำสูตรยาเก่ามาผสมแล้วจดเป็นยาใหม่ โดยไม่ได้วิจัยค้นคว้าขึ้นใหม่ ก็จะได้รับการคุ้มครองต่ออีก ๒๐ ปี ทำให้เกิดการผูกขาดยา และราคายาแพงไปตลอด และทำให้ประเทศกำลังพัฒนาไม่สามารถพึ่งตนเองได้
สหรัฐฯเรียกร้องให้มีมาตรการป้องกันมิให้มีการขึ้นทะเบียนตำรับยาที่มีการละเมิดสิทธิบัตร และต้องแจ้งให้เจ้าของสิทธิบัตรทราบถึงการขึ้นทะเบียนตำรับยานั้น
ผลของข้อเรียกร้องนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อ.ย.) ต้องกลายมาทำหน้าที่เป็นตำรวจเฝ้ารักษาผลประโยชน์ของบริษัทยาของสหรัฐฯโดยใช้เงินเดือนจากภาษีอากรของประชาชนไทย เช่นเดียวกับบทบาทของกรมทรัพย์สินทางปัญญา(บางคนเปลี่ยนชื่อเป็นกรมขายชาติ) และตำรวจ
หากอ.ย.ละเลยหรือปล่อยให้มีการหลงหูหลงตาปล่อยให้มีการจดทะเบียนซ้ำ ก็อาจจะถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้
หากไทยลงนามในข้อตกลงนี้ รองศาสตราจารย์ จิราพร ลิ้มปานานนท์ ระบุว่า ประเทศไทยต้องจ่ายค่ายาเพิ่มขึ้นปีละ 2 หมื่นล้านบาท(ครึ่งหนึ่งของรายได้การส่งออกข้าวในแต่ละปี) หรือ 4 แสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 20 ปีข้างหน้า
รองศาสตราจารย์ จิราพร ลิ้มปานานนท์ ระบุอีกว่า ร้อยละ 72.22 ของการจดสิทธิบัตรยาใหม่ เป็นการเอาสูตรตำรับยาเก่าที่หมดอายุสิทธิบัตรแล้วมาผสมใหม่ เช่น การทำให้ยาแรงขึ้น หรือ กินปริมาณน้อยลง มิใช่นวัตรกรรมใหม่ ดังนั้นจึงเป็นการขยายเวลาการผูกขาดขายยาราคาแพง และกีดกันมิให้มีการผลิตยาที่หมดสิทธิบัตรในราคาถูกออกมาช่วยชีวิตคน อันเป็นการละเมิดสิทธิผู้ป่วยและสิทธิมนุษยชน

สิทธิบัตรพันธุ์พืช
สหรัฐฯเรียกร้องให้คุ้มครองสิทธิบัตรให้ครอบคลุมสิ่งมีชีวิตทุกประเภท ทั้งพืช สัตว์ และจุลินทรีย์ โดย ไม่ต้องมีการระบุถึงแหล่งที่มาของพันธุ์พืช และจุลินทรีย์ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในป่าเขตร้อนในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งประเทศเจ้าของแหล่งที่มาควรจะต้องได้รับส่วนแบ่งจากค่าสิทธิบัตรอย่างเท่าเทียมกับผู้จดสิทธิบัตรนั้นด้วยเสมอไป มิฉะนั้นก็จะเกิดการปล้น หรือ ขโมยพันธุกรรม หรือ พันธุ์พืช เช่น กรณีข้าวหอมมะลิ เปล้าน้อย กวาวเครือ และจุลินทรีย์ อีกหลายพันชนิดที่ถูกขโมยไปแล้ว
เนื่องจากประเทศที่พัฒนาแล้วมีอากาศหนาว จึงขาดแคลนความหลากหลายทางพันธุ์พืช จึงต้องการใช้พันธุ์พืชพื้นเมืองจากประเทศอื่นมาพัฒนาโดยไม่ต้องจ่ายเงิน จึงเขียนอนุสัญญาพันธุ์พืชใหม่ ( Union for the Protection of New Varieties of Plants-UPOV 1991) ขึ้นมาและบีบบังคับให้ประเทศอื่นๆลงนามรับรอง หากประเทศไทยเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ ( UPOV 1991) ก็จะต้องแก้ไขกฏหมาย พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งคุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมืองของไทย และของชุมชน เพราะว่า UPOV 1991 คุ้มครองเฉพาะพันธุ์พืชใหม่ที่พัฒนาขึ้นมา แต่ไม่คุ้มครองพันธุ์พืชพื้นเมือง
ถ้าตีความกันแบบชาวบ้านก็คือ การอนุญาตให้ปล้นหรือขโมยพันธุ์พื้นเมืองได้อย่างชอบธรรม
อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่ UPOV 1991 คืออนุญาตให้ “ปล้น” ได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย
หากประเทศไทยเดินหน้าก็ต้องแก้ไข พ.ร.บ. คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ. 2542 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการกำกับดูแล การเข้าถึงและแบ่งปันผลประโยชน์จากการใช้ความหลากหลายทางชีวภาพที่เรามีอยู่อย่างไม่เป็นธรรม ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิของเกษตรกรซึ่งเป็นผู้ปรับปรุงพันธุ์ หรือค้นพบพันธุ์ เนื่องจากร่างข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ไม่มีข้อกำหนดพิจารณาถึงแหล่งที่มาของพันธุกรรมที่ใช้เป็นฐานในการปรับปรุงประดิษฐ์
ไม่มีเงื่อนไขในเรื่องการแบ่งปันกันใช้ประโยชน์หรือผลประโยชน์ระหว่างผู้ประดิษฐ์กับเกษตรกร ชุมชน หรือประเทศที่เป็นแหล่งกำเนิด
นอกจากนี้ยังมีข้อห้ามไม่ให้เกษตรกรเก็บพันธุ์พืชที่ได้รับการคุ้มครองไว้ใช้ในฤดูเพาะปลูกต่อไป รวมทั้งห้ามการแลกเปลี่ยนเพื่อการคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์อันเป็นจารีตของท้องถิ่น

การคุ้มครองเครื่องหมายการค้า
ประเด็นการคุ้มครองเครื่องหมายการค้าให้รวมถึงสิ่งที่จับต้องไม่ได้ เช่น กลิ่น สี เสียง ซึ่งต่อไปการหายใจเอาอ๊อกซิเจนก็ต้องจ่ายค่าสิทธิบัตรเพราะว่าฝรั่งเป็นผู้ค้นพบสูตร เอช ๒ โอ ทุกวันนี้ซีดีเพลงต่างๆที่นำไปเปิดทางวิทยุ หรือ ตามตู้คาราโอเกะก็ต้องจ่ายเงิน ทั้งๆที่ค่าลิขสิทธิ์ก็ได้บวกอยู่ในแผ่นแล้ว เรื่องซอฟท์แวร์ ก็เช่นเดียวกัน
กล่าวโดยสรุป การลงทุนของต่างประเทศ สิ่งที่ประเทศไทยได้คือแรงงาน “ขันน๊อต” แรงงาน “ เชื่อมตะกั่ว” แรงงาน “เชือดและห่อไก่” และ แรงงาน “หนูถีบจักร” ที่รายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่ายในแต่ละเดือน ทำงานจบเดือนก็ยังต้องกู้เงินมาเพื่อเสริมค่าใช้จ่ายที่ค่าแรงไม่พอใช้
การเปิดเสรีการลงทุนอย่างล่อนจ้อนห้ามไม่ให้มีเงื่อนไขควบคุมจะก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมและฐานทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าชายเลนถูกทำลาย พื้นที่เพาะปลูกถูกอุตสาหกรรมต่างชาติแย่งชิงไป เหลือลดน้อยลง และกระทบถึงความอุดมสมบูรณ์ของ อาหาร สัตว์น้ำและอาชีพประมง
การเปิดเสรีการลงทุนอย่างล่อนจ้อนห้ามมีเงื่อนไขควบคุมจะทำให้สูญเสียพื้นที่ทางเกษตรต่อการเข้ามาลงทุนของอุตสาหกรรม ซึ่งจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางด้านอาหารของประเทศ เหมือนกับประเทศเมกซิโก
การเปิดเสรีการลงทุนอย่างล่อนจ้อนจ้อนห้ามมีเงื่อนไขในกรณีการทำเหมือง นั้นต้องเจาะทำลายภูเขาเป็นลูกๆ เพียงเพื่อสะกัดเอาแร่จำนวนเล็กน้อย ในกรณีของเหมืองทองคำที่จังหวัดนราธิวาส ต้องใช้ไซยาไนท์อันเป็นสารพิษสะกัด และไหลลงแม่น้ำลำคลองเป็นอันตรายต่อคนและสัตว์ โดยที่รัฐได้ค่าภาคหลวงเพียงร้อยละ 2 ของมูลค่าเท่านั้น
การปล่อยให้มีการตั้งโรงงานกำจัดขยะสินค้าอิเลกโทรนิกส์ก็จะทำให้พื้นดินอันอุดมสมบูรณ์ถูกแปรเป็นผืนดินที่อุดมด้วยสารพิษไว้ให้ลูกหลานรับกรรมต่อ
ประเด็นต่างๆที่ไม่เป็นธรรมข้างต้น ประเทศไทยไม่ได้ประโยชน์ หรือได้ไม่คุ้มเสีย แต่อาจจะมีกลุ่มธุรกิจบางกลุ่มจำนวนไม่กี่รายที่ได้ประโยชน์จากข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับสหรัฐฯที่กำลังเจรจากันอยู่ ความหวังที่จะให้คนไทยไปเปิดร้านอาหาร เปิดสปา เปิดนวดแผนไทย นั้นผลประโยชน์จิ๊บจ้อยมาก และไม่มีข้อห้ามอยู่แล้ว แต่ในภาพรวมของผลประโยชน์ของชาติของแผ่นดิน ของประชาชนส่วนใหญ่แล้ว ได้ไม่คุ้มเสีย และไม่มีความจำเป็นต้องเจรจาต่อในขณะนี้
รัฐบาลควรจะยกเลิกการเจรจา หรือ ยืดกรอบเวลาออกไปก่อนสัก 10 ปีรอให้ประเทศไทยมีความพร้อมมากกว่านี้ ในขณะนี้ เราเป็นสมาชิกองค์การค้าโลก และเปิดเสรีมากพอแล้ว ถ้าเปิดมากไปกว่านี้ ประเทศก็จะไม่มีอะไรเหลือ คนทั้งชาติต้องทำงานมาจ่าย “ส่วย” ที่ถูกต้องตามกฏกติกาของการค้าเสรีในรูปของ ค่า ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า แฟรนไชส์
ภาคประชาสังคมก็ต้องร่วมกันคัดค้านและกดดันไม่ให้มีการเจรจาเอฟทีเอกับสหรัฐฯต่อไป รวมทั้งเรียกร้องให้เปิดเผยรายละเอียดทุกข้อ และให้มีการลงประชามติ ก่อนจะลงนามเพื่อให้เกิดความยั่งยืนของประเทศ เพราะว่าประเทศไทยเป็นประเทศเอกราช มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่เมืองขึ้นของสหรัฐฯอเมริกา

การศึกษาคือสิทธิมนุษยชน

การศึกษาออกนอกระบบคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน
กมล กมลตระกูล

กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม( International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights – ICESCR ) ได้รับการรับรองจากสมัชชาองค์การสหประชาชาติ เมื่อ วันที่ 16 ธันวาคม 1966 โดยมีผลบังคับใช้เมื่อ วันที่ 3 มกราคม 1976 กติกานี้มีทั้งหมด 31 มาตรา ประเทศไทยให้สัตยบรรณเมื่อ 5 ธันวาคม 2542 (1999)
ความสำคัญของ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม คือ การระบุไว้อย่างชัดเจนถึง “พันธะ” และ “ภาระหน้าที่” ของรัฐที่ต้องจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้มากที่สุดเพื่อมาจัดสรรให้สิทธิต่างๆที่กล่าวไว้ในกติกานี้บรรลุผลเป็นจริงอย่างเป็นขั้นตอน รวมทั้งการออกกฏหมายมารองรับด้วย
มาตราที่ 13 ของกติการะหว่างประทศฉบับนี้ ได้รับรองว่าสิทธิได้รับการศึกษาเป็นสิทธิมนุษยชนด้านหนึ่งที่รัฐมี “พันธะ” และ “ภาระหน้าที่” ที่ต้องจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่ให้มากที่สุดเพื่อมาจัดสรรให้สิทธิดังกล่าวนี้บรรลุผลเป็นจริงอย่างเป็นขั้นตอน รวมทั้งการออกกฏหมายมารองรับด้วย
นอกจากนี้ใน มาตราที่ 15 ได้ระบุถึงสิทธิได้เสพย์วัฒนธรรมและได้ใช้ประโยชน์จากก้าวหน้า ทางเทค โนโลยี่ และผลของการพัฒนา ซึ่งครอบคลุมถึงองค์ความรู้ ภูมิปัญญา ศิลปและวัฒนธรรมรวมทั้งความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี่ที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าถึง แต่ถ้าหากประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษา สิทธิในการเสพย์วัฒนธรรมก็พลอยถูกละเมิดไปด้วย
ข้ออ้างที่ไร้ตรรกวิทยา
ข้ออ้าง ข องนายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่า การนำมหาวิทยาลัยออกจากระบบราชการก็เพื่อความคล่องตัวและเป็นอิสระในการบริหารจัดการให้เบ็ดเสร็จภายในระดับมหาวิทยาลัย เพื่อเอื้ออำนวยสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ
ข้ออ้างนี้เป็นการประนามระบบราชการทั้งหมดว่าไร้ประสิทธิภาพ ขาดความคล่องตัว ไม่เอื้อต่อการพัฒนา ถ้าหากว่าข้ออ้างนี้ฟังขึ้น ก็ต้องยุบหน่วยราชการทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นกองทัพ กระทรวง ทบวงกรม และกอง ทั้งหมด เช่น ระบบตุลาการ ใช่ไหม ทำไมนายวิจิตร ศรีสอ้าน จึงไม่เสนอปฏิรูประบบราชการทั้งหมดถ้าหากเห็นว่าเป็นปัญหาของชาติ หรือเสนอให้กองทัพ หรือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศาลสถิตย์ยุติธรรมออกจากออกจากระบบราชการเพื่อความคล่องตัวครับ
ใครไม่อยากอยู่ก็ควรออกไป
ผู้ที่สนับสนุนออกนอกระบบ เช่น อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอธิการบดี มหาวิทยาลัยธรรมศษสตร์ ควรจะลาออกและขับตัวเองออกนอกระบบไปทำงานให้มหาวิทยาลัยเอกชนหรือมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพและความคล่องตัว หรือ ออกไปตั้งมหาวิทยาลัยใหม่เหมือนมหาวิทยาลัยมหานครที่มีคณาจารย์ลาออกจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี่ของรัฐออกไปก่อตั้ง ทำไมจึงต้องหอบหิ้วเอาสมบัติของชาติและสมบัติของพระมหากษัตริย์ออกไปกับตัวเองไปบริหารด้วย
สมบัติของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถ้าประเมินทรัพย์สินในวันนี้ แล้วอาจจะมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท ขนาดยังไม่ได้ออกจากระบบราชการยังมีการนำไปเซ็งลี้ให้เอกชนทำมาหากินอย่างเป็นล่ำเป็นสัน คือ สยามสแควร์ และมาบุญครอง โดยไม่มีการเปิดเผยรายรับที่แท้จริงว่าหายไปไหน และสัญญาให้เช่านั้นเป็นธรรมกับทรัพย์สินของชาติหรือไม่ มีการตรวจสอบหรือไม่ว่ามีใครรับเงินใต้โต๊ะก้อนโตไปหรือไม่
ถ้าหากออกนอกระบบแล้วอำนาจการบริหารไปอยู่ที่ผู้บริหารชุดใหม่ที่มีอิสระและความคล่องตัว อะไรจะเกิดขึ้นกับทรัพย์สินของชาติ มีหลักประกันอะไรบ้างว่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร


การศึกษาคือสิทธิมนุษยชนและเป็นพันธกิจของรัฐ
เนื่องจากประชาชนทุกคนเป็นผู้เสียภาษีที่นำมาเป็นงบประมาณการศึกษา จึงไม่ควรมีการเก็บภาษีซ้ำซ้อนอย่างที่ ดร .สุรพล นิติไกรพจน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ .) กล่าวว่า ปีการศึกษา 2550 มธ.จะมีการปรับเพิ่มค่าเทอมร้อยละ 20 เนื่องจาก มธ .มีต้นทุนด้านการศึกษาเพิ่มสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ และ 10 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีการปรับเพดานค่าเทอม
"ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มธ .ไม่เคยมีการปรับขึ้นค่าเทอม แต่ในปี 2550 นี้ มธ .มีความจำเป็นต้องขึ้นค่าเทอม เพราะขณะนี้มีต้นทุนสูงด้านการจัดศึกษาค่อนข้างสูง เช่น คณะวิทยาศาสตร์ เราจะต้องมีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ทันสมัย เป็นต้น จริง ๆ การขึ้นค่าเทอมขึ้นอยู่กับต้นทุนและภาวะเงินเฟ้อ ไม่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยออกนอกระบบหรือไม่ออก" อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กล่าว
พูดแค่นี้ก็เห็นใส้และธาตุแท้ของอธิการบดีผู้สนับสนุนการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบแล้ว คือมองการศึกษาเป็นเรื่องเซ็งลี้ เป็นเรื่องกำไร ขาดทุน คุ้มทุน ต้นทุน ปรับตามภาวะเงินเฟ้อ
อาจารย์สุรพลเป็นถึงด๊อกเตอร์ คิดไม่ได้หรือ ว่าการใช้กรอบคิดเรื่องต้นทุน กำไร ขาดทุน และปรับตามอัตราเงินเฟ้อ นั้น เป็นเรื่องทางธุรกิจ ที่ใช้ต้นทุนของนายทุนหรือเงินกู้ที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเขาลงทุนเพื่อค้ากำไร เช่นมหาวิทยาลัยมหานคร มหาวิทยาลัยกรุงเทพ หรือ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ แต่ระบบการศึกษาของชาติเงินทุนนั้นคือภาษีอากรของประชาชนที่จ่ายให้รัฐล่วงหน้าเพื่อนำมาใช้อำนวยการศึกษาให้เจ้าของเงินที่เขาไม่ได้คาดหวังกำไร แต่เขาคาดหวังว่าลูกหลานของทุกคนที่จ่ายภาษีอันได้แก่คนยากคนจนที่เป็นคนส่วนใหญ่และเป็นผู้แบกรับภาษีทางอ้อมทั้งปวงจะไม่ถูกกีดกันออกไปจากระบบการศึกษาด้วยค่าเทอมทั้งทางตรงและทางอ้อม เช่นค่าธรรมเนียมสารพัด หรือ ค่าหน่วยกิตของการศึกษาภาคพิเศษที่โขกสับนักศึกษาในทุกวันนี้ อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัย หากมีโอกาสได้รับรู้ถึงระบบการเก็บค่าเทอมของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในปัจจุบัน ท่านคงร่ำไห้น้ำตาเป็นสายน้ำแน่ เพราะธรรมศาสตร์ในวันนี้ได้ทรยศต่อหลักการที่ท่านก่อตั้งขึ้นมาให้เป็นมหาวิทยาลัยของประชาชนของสามัญชนที่เป็นชนส่วนใหญ่
นักศึกษาในยุคก่อนเหตุการณ์ตุลาคมมหาปิติปี 2516 ต่างมีจิตสำนึกและเข้าใจสิทธิของตน เมื่อมหาวิทยาลัยขึ้นค่าหน่วยกิต หรือ รถเมล์ขึ้นราคา เขาก็ลุกขึ้นประท้วง ออกเดินขบวนประท้วง ผิดกับนักศึกษายุคนี้ ซึ่งถูกอบรมมาให้เป็นแมวเชื่อง หรือวัวที่พร้อมจะให้ผู้บริหารที่ฉ้อฉลสนตะพายไปทางไหนก็ได้ ( ระบบโซตัส ระบบเชียร์ จึงฟื้นชีพขึ้นมามอมเมานักศึกษาให้สนุกเข้าไว้)
การนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบซึ่งจะทำให้การศึกษามีราคาแพง กีดกันคนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของชาติออกจากระบบการศึกษา และรับใช้เฉพาะลูกหลานของอภิสิทธิ์ชนเท่านั้น คือ การทรยศต่อสัญญาประชาคม เป็นการทรยศต่อ ประชาชน หรือทรยศต่อชาติ(น่าจะจับไปไถนาสักปี) เช่นเดียวกับการที่ทหารหนีทัพในยามศึก หรือตำรวจหลบไม่ยอมจับผู้ร้ายที่ทำความผิดซึ่งหน้า หรือผู้พิพากษาไม่ตัดสินลงโทษผู้ผิด ฉันใดฉันนั้น
นอกจากนี้ เสรีภาพทางวิชาการก็จะหมดไปเมื่ออาจารย์ต้องกลายมาเป็นลูกจ้างที่ไม่มีหลักประกัน ความเป็นปัญญาชนจะถูกแทนที่ด้วยการเป็นผู้ขายแรงงานทางปัญญา หรืออาจารย์บางส่วนก็จะกลายเป็นนักธุรกิจการศึกษา ซึ่งเป็นอันตรายต่ออนาคตของชาติเป็นอย่างยิ่ง
ประเทศที่มีการพัฒนาสูงและเร็ว มีปัญหาอาชญากรรมน้อย มีปัญหาสังคมน้อย มีปัญหาคอรัปชั่นน้อยล้วนมีระบบการศึกษาที่ฟรี หรือ เกือบฟรี เช่นประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศส กลุ่มประเทศ สแกนดิเนเวีย สิงค์โปร์ ที่เยอรมัน เรียนฟรีถึงขั้นปริญญาเอกด้วยซ้ำ มีแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่คิดและปล่อยให้มีการหากินขูดรีดนักเรียนนักศึกษาทั้งทางตรงและทางอ้อมทุกวันนี้
มหาวิทยาลัยของรัฐในอเมริกา เช่น ยูซีเบิร์กเลย์ ยูซีแอลเอ ยูซีซานดิเอโก และยูซีเดวิส มีชื่อเสียงและได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับเดียวกับมหาวิทยาลัยเอกชนที่มีชื่อเสียง เช่น มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด เอ็มไอที สแตนฟอร์ด ยูออฟชิคาโก แต่คิดค่าเล่าเรียนถูกกว่าหลายเท่า นอกจากนี้ยังมีมหาวิทยาลัยประภท สเตท ยูนิเวอร์ซิตี้ และ ซิตี้ คอลเลจ อีกมากมายทุกรัฐทุกเมืองที่คิดค่าเล่าเรียนถูกมารองรับผู้ด้อยโอกาสอย่างพอเพียง
มหาวิทยาลัยของรัฐในอเมริกาเขาไม่ให้นักวิชาการ(เกิน)บริหาร แต่เขาใช้วิธีประมูลตัวซีอีโอของบริษัทเอกชนมาบริหาร โดยการแยกผู้บริหารฝ่ายวิชาการออกจากด้านบริหารทั่วไป มหาวิทยาลัยของรัฐจึงมีคุณภาพ แต่ถ้ามหาวิทยาลัยไทยออกนอกระบบแล้วยังให้นักวิชาการที่ไม่ได้เรียนด้านบริหารมาบริหาร ก็จะแย่กว่าเดิมอีก ปัญหาหลักจึงไม่ใช่อยู่ที่การออกนอกระบบแต่แก้ได้ด้วยการแก้ระเบียบและวิธีบริหารมากกว่า
ปัญหาความไม่คล่องตัว และไม่มีประสิทธิภาพของมหาวิทยาลัยเป็นเรื่องความ “งี่เง่า” ของผู้บริหารที่เป็นนักวิชาการและบริหารงานไม่เป็นแต่ไม่ยอมรับความจริง บวกกับความละโมภคือปัญหาที่แท้จริงและเป็นประเด็นหลักที่ต้องแก้ครับ
น.พ.ประเวศ วะสี ก็ยืนยันปัญหาดังกล่าวนี้ดังนี้ “การบริหารมหาวิทยาลัยที่ทำอยู่ในขณะนี้คือการบริหารกฎหมาย และกฎระเบียบ ไม่ใช่การบริหารวิชาการ เห็นได้ชัดเพราะกฎระเบียบเยอะมากจากองค์กรต่างๆ ที่ใส่เข้ามา ทั้ง ระเบียบ กพ. ระเบียบกระทรวงการคลัง ระเบียบสำนักนายกฯ แต่อาจารย์เป็นนักวิชาการ จะไม่เข้าใจ ชำนาญระเบียบต่างๆ เหล่านี้ ขณะที่ต้องมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารมหาวิทยาลัย ทำให้หมดกำลังอาจารย์ไปเยอะ และก็ทำอะไรไม่ค่อยได้ดี เพราะผู้บริหารต้องเสียเวลากับการประชุมต่างๆ ดังนั้น ต้องปรับการบริหารมหาวิทยาลัยใหม่ มาเป็นการบริหารวิชาการให้ได้ ไม่เช่นนั้นมหาวิทยาลัยจะถูกลูกตุ้มถ่วงหมดเวลาไปกับการสอน”
ที่สิงค์โปร์ ร้อยละ 80 ของนักศึกษาที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยล้วนได้รับทุนการศึกษาโดยไม่ต้องใช้ทุน ประเทศสิงค์โปร์จึงมีบุคคลากรของชาติที่มีคุณภาพไม่แพ้ประชาชนในประเทศที่พัฒนาแล้ว และสามารถมา “ฮุบ” ประเทศไทยไปได้แล้ว
เมื่อมหาวิทยาลัยไทยออกนอกระบบแล้ว มีหลักประกันอะไรบ้างว่าร้อยละ 80 ของนักศึกษาจะได้รับทุนเรียนโดยไม่ต้องใช้ทุนคืน ท่านรัฐมนตรี วิจิตร ศรีสอ้าน จะตอบได้ไหมครับ

พ.ร.บ.ออกนอกระบบ มีช่องโหว่ให้อำนาจผู้บริหารมากเกินไป
ในมาตรา 18, 27 และ 33) โดยมิได้กำหนดเงื่อนไขบังคับใดๆ เกี่ยวกับการสรรหา ทำให้ขาดหลักประกันว่ามหาวิทยาลัยที่รัฐยังเป็นเจ้าของนั้นจะมีความโปร่งใสและยึดหลักบริหารธรรม (good governance) ที่เข็มแข็งและมีความโปร่งใส การกำหนดที่มาและกระบวนการการสรรหาผู้บริหารระดับสูงของมหาวิทยาลัยของรัฐมีความสำคัญยิ่งเพราะจำเป็นต้องเป็นไปอย่างเปิดเผยและได้รับความศรัทธาว่าจะนำไปสู่การยึดมั่นในผลประโยชน์ของมหาวิทยาลัยเพื่อปวงชนอย่างแท้จริง จึงควรมีการระบุให้การสรรหามีกระบวนการที่ชัดเจน ปราศจากการครอบงำและมีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การสรรหาโดยอย่างเคร่งครัด โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมด้วย ใน มาตรา 13 (4) ของ พ.ร.บ. ออกนอกระบบของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเปิดช่องให้มีการร่วมทุนและกู้ยืมเงินจากภายนอกได้ โดยไม่มีข้อบังคับที่ชัดเจนในการป้องกันมิให้ใช้เครื่องมือทางเงินแปรรูปมหาวิทยาลัยไปสู่รูปแบบอื่นๆ ที่มีความเสี่ยงไม่ตอบสนองวัตถุประสงค์ของการเป็นสถาบันการศึกษาของชาติ การกู้ยืมนั้นอาจเป็นเครื่องมือที่สามารถผลักภาระไปให้นิสิตในอนาคตรับภาระในรูปของค่าเทอม ค่ารรมเนียม ค่าหน่วยกิต ได้ง่ายจึงควรกระบวนการพิจารณาที่รอบคอบ สำหรับเรื่องการลงทุนและการร่วมลงทุน
ระบบบัญชีควรจะต้องเปิดเผยและให้สาธารณะชนตรวจสอบได้ตลอดเวลา มาตรา 29และ34 อธิการบดี (และคณบดี) ควรพ้นจากตำแหน่งถ้ามีอายุเกินกำหนด 60 ปี ทั้งนี้เพราะเป็นตำแหน่งงานบริหารที่ต้องการบุคคลทำงานเต็มเวลา จึงไม่ควรมีอายุการทำงานนานเป็นพิเศษกว่าคณาจารย์ประจำหรือบุคลากรประเภทอื่นของมหาวิทยาลัย มาตรา 36 เนื่องจากระดับคณะไม่มีสภาคณาจารย์คณะกรรมการบริหารจึงควรมีสัดส่วนผู้แทนคณาจารย์ประจำคณะที่มากเพียงพอเพื่อป้องกันมิให้การบริหารถูกรวมศูนย์จนขาดการแนะนำท้วงติงหรือขาดการมีส่วนร่วมของคณาจารย์ จากทุกคณะ ซึ่งถ้าเกิดขึ้นเป็นเวลานานก็จะส่งผลให้องค์กรมีความอ่อนแอ ขาดความเป็นธรรมและขาดความสามัคคี


ทางออกของมหาวิทยาลัยของรัฐ
1. ใครอยากออกจากระบบราชการก็ควรออกไปแต่ตัวไปสู่ที่ชอบๆ เช่นไปทำงานรับใช้มหาวิทยาลัยต่างชาติ ทำงานกับมหาวิทยาลัยเอกชน หรือ หาเงินตั้งมหาวิทยาลัยกันเอง แต่ อย่าเอามหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสมบัติของชาติออกไปด้วย
2. ควรจะแยกคณะสาขาวิชาที่ลงทุนสูงออกไปแล้วคิดค่าเล่าเรียนตามต้นทุนที่แท้จริง เช่นด้านวิทยาศาสตร์ ด้าน เทคโนโลยี่ ด้านการแพทย์ หรือ ด้านวิศวกรรม ซึ่งผลิตบุคคลากรไปป้อนภาคธุรกิจ หรือ ออกไปทำงานต่างประเทศ โดยใช้เงินภาษีอากรของประชาชนทั้งประเทศนั้นไม่เป็นการยุติธรรม สำหรับนักศึกษาที่ต้องการทุนโดยไม่ต้องใช้คืนก็ให้ทำสัญญาผูกมัดว่าเมื่อจบแล้วต้องทำงานราชการ หรือ องค์กรการกุศล หรือ องค์การเอ็นจีโอ เป็นเวลา 5 ปี เหมือนนักศึกษาแพทย์ที่จบแล้วต้องรับราชการใช้คืนทุนก่อน
3. แยกผู้บริหารด้านวิชาการ ออกจากผู้บริหารด้านทั่วไปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารโดยผู้ที่เรียนมาทางด้านบริหาร หรือ มีประสบการณ์มาก่อน แบบเดียวกับในอเมริกา
4. เพิ่มเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยในอัตราเดียวกับอัยการ หรือ ผู้พิพากษา โดยไม่ต้องออกนอกระบบ เพราะว่าเมื่อออกนอกระบบแล้ว รัฐจะแทรกแซงกำหนดทิศทางหรือนโยบายไม่ได้ เหมือนกับรัฐวิสาหกิจที่ถูกแปรรรูปออกไปแล้ว เช่น ป.ต.ท. ซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่คานอำนาจบริษัทต่างชาติในการกำหนดราคาน้ำมันที่เหมาะสมอีกต่อไป รถไฟฟ้า รถใต้ดิน หรือ ค่าทางด่วน ก็เป็นลักษณะเดียวกัน คือ บริหารงานเพื่อผลกำไรสูงสุด โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของประชาชนผู้เป็นเจ้าของเงินลงทุน
5. ยกเลิกระบบกู้เงินเรียน แต่ใช้ระบบให้ทุนแบบสิงค์โปร์ โดยการคัดเลือกและให้มีการแข่งขัน นักศึกษาที่เกียจคร้านหรือไม่รักเรียน ไม่รักความก้าวหน้าก็ต้องถูกกันออกไปเรียนระดับอาชีวะ หรือ ระดับต่ำกว่านั้นเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับมหาวิทยาลัย
6. ให้รัฐเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้าแบบในอเมริกาเพื่อนำเงินมาเป็นงบประมาณการศึกษาทั้งระบบ
7. รัฐบาลต้องจัดให้มีการสัมมนาระดับชาติครั้งใหญ่เพื่อสังคายนาระบบการศึกษาขั้นอุดมศึกษาทั้งระบบเพื่อกำหนดทิศทางและเป้าหมายว่าสร้างบุคคลกรประเภทไหนมาร่วมกันสร้างชาติ คณะสาขาวิชาที่ลงทุนสูงใครควรจะเป็นผู้รับภาระ เช่นด้านวิทยาศาสตร์ ด้าน เทคโนโลยี่ ด้านการแพทย์ หรือ ด้านวิศวกรรม ซึ่งผลิตบุคคลากรไปป้อนภาคธุรกิจ หรือ ออกไปทำงานต่างประเทศ อันที่จริงสาขาเหล่านี้สามารถบริหารจัดการให้รับงานภายนอกมาสร้างรายได้คืนให้มหาวิทยาลัยได้

Threat of Globalisation

Threat of Global Market, Global Trade, Global Investment and Global Culture in the Next Decade
Kamol Kamoltrakul

( Present paper at the Thai Australia Association Annual General Meeting September 2, 2006, Royal Thai Air Force Club, Bangkok, Thailand. )


Ladies and Gentlemen :
It is my pleasure and honor to be here today to share my view with you on the global economic issues. But first of all I would like to thank you Professor Kriangsak Charoenwongsak, the President of the Thai Australian Association for giving me this opportunity. In fact, though my background education is Economics but I don’t want to claim myself an economist, I would prefer to be called a journalist. This story will tell you why?
President Truman was the first president to appoint a council of economic advisers. Unlike some later presidents, he actually liked to listen to his policy advisers. However, he preferred a clear recommendation, not a long discussion of the advantages and disadvantages of a particular course of action.
He quickly grew tired of economist who gave a good recommendation, and then began, "On the other hand. . ."
A journalist says what he saw, an economist also says what he saw but add - on the other hand !.

The issues and approaches I am going to touch on today would be from a perspective of a journalist not an economist, so don’t worry you will not hear me say : on the other hand !
The global issues including global market, global trade, global investment and global culture in the next decade are quite broad and boring so I don’t want to sell bad produce to a farmer. The positive and opportunity aspects of those issues which I am sure all of you know better. So, I will focus on the threat of those issues which is the protectionism in the developed countries.
The topic today can be defied- globalization in the next decade.
A short definition of globalization by many academics is “the growing liberalization of international trade and investment, and the resulting increase in the integration of national economies.” It may also be taken to mean the increasing tendency for firms to think, plan, operate, and invest for the future with reference to markets and opportunities across the world as a whole. So, globalization has a tendency toward uniformity (or “harmonization”), by which norms, standards, rules, and practices are defined and enforced with respect to regions, or the world as a whole, rather than within the bounds of nation-states.
Globalization refers to the implementation of free trade on a global
scale, which is accomplished through international trade liberalization. A country liberalizes its trade with other countries by removing policies that serve as barriers to trade.
Examples of trade barriers include tariffs, which are high taxes on imported goods that make them less competitive with domestic products, and subsidies, which are monies paid to domestic producers that allow them to sell goods more cheaply than their foreign competitors.
Both policies keep foreign producers from selling very much in domestic markets, because when given the choice most people will buy what is cheapest.
A policy agenda that seeks to maximize the number of tariffs and subsidies a government employs is usually called protectionism.
Trade policy is extremely simple: it boils down to what tariffs or subsidies a government chooses to implement to keep its country’s markets closed to other countries (of course there are other policies governments can use, such as quotas on imported goods, expensive licenses for importers, and sometimes outright bans on foreign goods, but tariffs and subsidies are the main ones).
Mr. Ernesto Zedillo, the former President of Mexico said , Developed countries have low tariffs on industrial and service imports and high tariffs (or other forms of protection) on agricultural imports. Industrialised countries have been the main beneficiaries of trade liberalization brought about by the previous eight rounds of multilateral trade negotiations.
( The report of a High-level Panel on Financing for Development appointed by the UN Secretary General on 15 December 2000. Chaired by Mr. Ernesto Zedillo, the former President of Mexico)
Oxfam's report the "Rigged Rules and Double Standards," shows that 128 million people could be lifted out of poverty if the rules allowed Africa, Latin America, East Asia and South Asia each to increase their share of world exports by just one percent. In Africa it would generate over $100 billion - five times what the continent receives in aid and debt relief.
However, rich world hypocrisy and double standards stop this from happening. The G8 countries (especially US, EU, Canada and Japan) and big corporations rig the rules by:
Subsidizing agribusiness to the tune of $1.5 billion a day. Surpluses are dumped onto world markets, depressing prices and destroying local markets in poor countries.
Using the IMF and World Bank to pry open poor countries' markets with little regard to social consequences.
Taxing goods from poor countries at four times the rate of goods from rich countries.
Profiteering off falling commodity prices that condemn many poor economies to failure.
Allowing corporations to ride roughshod over internationally recognized workers rights.

Subsidies in the developed countries
In May 2002, US President George Bush signed a farm bill that would increase subsidies by $83 bn over a period of 10 years. This will raise subsidies to cotton growers by more than 60 per cent. Therefore, other things being equal, cotton producers in East and West Africa and other developing areas should not expect the world price of cotton to go up anytime soon
Katherine Daniels, trade policy adviser of Oxfam America said in her report and published in the "Rigged Rules and Double Standards,":
''The key point is that local Thai farm products are unlikely to compete with US counterparts, as the US annually spends billions of dollars in subsidies to its farmers, of corn and maize for example, allowing US farmers to sell their products in the world market, including Thailand, at low prices.''
According to Ms Daniels, Oxfam views that the US subsidies are not fair. The depressed market prices would affect Thai farmers as a whole, just like what Mexican cotton and maize farmers faced when the North American Free Trade Agreement (Nafta) took effect.
As a result, Mexican farmers had to migrate to work at factories in big cities and the United States in droves, she said.

A recent study led by Thammasat University academic Rangsan Thanapornpan claims that the Australia-Thailand free trade agreement has benefited only a small group of industrialists, while people in the agricultural sector have been adversely affected.
The study says Thailand enjoyed a trade surplus with Australia during 1998-2004. In 2005, the year the FTA was first enforced, Thailand had a trade deficit with Australia worth 3,199 million baht. Not to mention other repercussions that hurt the Thai farmers. In 2005, imports of milk and dairy products from Australia increased by 57%. Beef imports also increased because the tariff was reduced from 51 to 40%. Thai dairy farmers and cattle raisers were directly affected. Meanwhile, many groups have been concerned that the more vulnerable agricultural sector will not be able to compete with Australia’s agricultural businesses. For example, most dairy farms in Thailand are small, with only 10 to 20 head of cattle each. These are organised into 117 cooperatives. Dairy Australia, on the other hand, has more than 10,000 registered farms with about 200 cows each and receive subsidies from Australian government. .
About 300,000 dairy farmers are suffering as a result of increased imports of powdered milk from both Australia and New Zealand, he said. “This oversupply problem could get more serious despite the quota restrictions to protect local farmers.”(www.ftawatch.org)
Although the volume of Thai exports to Australia grew by 28.5% in 2005 because of tariff reductions. But only auto part of Transport Minister Suriya Jungrungreankit, whose family owns the Summit Auto-Parts group, is well positioned to increase exports to Australia significantly under the new 5 per cent auto-parts tariff barrier – down from 40 per cent last year. The growth of the auto-parts sector is at the expense of 300,000 dairy farmers.
The Rise of Corporations
Today we know that corporations, for good or bad, are major influences on our lives. For example, of the 100 largest economies in the world, 51 are corporations while only 49 are countries. In this era of “globalization”, marginalized people are becoming especially angry at the motives of multinational corporations, and corporate-led globalization is being met with increasing protest and resistance.
Large, transnational corporations are becoming increasingly powerful. As profits are naturally the most important goal, damaging results can arise, such as violation of human rights, lobbying for and participating in manipulated international agreements, environmental damage, child labor, driving towards cheaper and cheaper labor, and so on. Multinational corporations claim that their involvement in foreign countries is actually a constructive engagement as it can promote human rights in non-democratic nations. However, it seems that that is more of a convenient excuse to continue exploitative practices.
The following are collected from a report by the Institute for Policy Studies. The report is called Top 200: The Rise of Corporate Global Power
Of the 100 largest economies in the world, 51 are corporations; only 49 are countries (based on a comparison of corporate sales and country GDPs).
1. The Top 200 corporations' sales are growing at a faster rate than overall global economic activity. Between 1983 and 1999, their combined sales grew from the equivalent of 25.0 percent to 27.5 percent of World GDP.
2. The Top 200 corporations' combined sales are bigger than the combined economies of all countries minus the biggest 10.
3. The Top 200s' combined sales are 18 times the size of the combined annual income of the 1.2 billion people (24 percent of the total world population) living in "severe" poverty.
4. While the sales of the Top 200 are the equivalent of 27.5 percent of world economic activity, they employ only 0.78 percent of the world's workforce.
5. Between 1983 and 1999, the profits of the Top 200 firms grew 362.4 percent, while the number of people they employ grew by only 14.4 percent.
6. A full 5 percent of the Top 200s' combined workforce is employed by Wal-Mart, a company notorious for union-busting and widespread use of part-time workers to avoid paying benefits. The discount retail giant is the top private employer in the world, with 1,140,000 workers, more than twice as many as No. 2, DaimlerChrysler, which employs 466,938.
7. U.S. corporations dominate the Top 200, with 82 slots (41 percent of the total). Japanese firms are second, with only 41 slots.
8. Of the U.S. corporations on the list, 44 did not pay the full standard 35 percent federal corporate tax rate during the period 1996-1998. Seven of the firms actually paid less than zero in federal income taxes in 1998 (because of rebates). These include: Texaco, Chevron, PepsiCo, Enron, Worldcom, McKesson and the world's biggest corporation - General Motors.
9. Between 1983 and 1999, the share of total sales of the Top 200 made up by service sector corporations increased from 33.8 percent to 46.7 percent. Gains were particularly evident in financial services and telecommunications sectors, in which most countries have pursued deregulation.

Intellectual Property Rights
The developed countries have tightened their protection of new technologies through the WTO's trade-related intellectual property (Trips) agreement, making it more difficult for developing countries to obtain advanced technologies than in the more permissive regime when today's advanced countries were developing.
IPRs are artificial monopoly rights to intangible goods and services — methods of doing business on the internet, trademarks, computer programmes, designs, manufacturing processes, drug formulations or types of rice. They give IPR owners the right to prevent anyone from making or using their "creation". As such, they provide companies a direct tool to control a portion of the market, to block out competition and to fence off territories. That is why they are seen as a thorn in side of free trade dogma. They are protectionist barriers to enterprise, administered by governments.
Global Culture
Ben Bagdikian, the former Dean of the Graduate School of Journalism at the University of California in Berkeley. When the first edition of his book, The Media Monopoly, was published in 1983, fifty corporations controlled most major media outlets in the United States. When the second edition of Ben Bagdikian's book was published in 1987, twenty-nine corporations controlled most media outlets. When the sixth edition of The Media Monopoly was published in 2000, six megacorporations dominated the mass media.
When Ben Bagdikian's last book, The New Media Monopoly, was published in 2004, only five, five megacorporations dominated the mass media, and control what most the world hear, see, read, and believe.
— Time Warner, Disney, Murdoch's News Corporation, Bertelsmann of Germany, and Viacom (formerly CBS) — own most of the newspapers, magazines, books, radio and TV stations, and movie studios of the United States.
These Big Five (with General Electric's NBC a close sixth) do not manufacture automobiles, or clothing, or nuts and bolts. They manufacture politics and social values. The media conglomerates have been a major force in creating global culture. They have almost single-handedly as a group, in their radio and television dominance, produced a coarse and vulgar culture that celebrates the most demeaning characteristics in the human psyche — greed, deceit, and cheating as a legitimate way to win (as in the various "reality" shows).

The Consequence of globalization is inequity, the cause of Poverty Around The World
Inequality is increasing around the world while the world appears to globalize. Even the wealthiest nation has the largest gap between rich and poor compared to other developed nations. In many cases, international politics and various interests have led to a diversion of available resources from domestic needs to western markets. Historically, politics and power play by the elite leaders and rulers have increased poverty and dependency. These have often manifested themselves in wars, hot and cold, which have often been trade and resource-related. Poverty is therefore not just an economic issue, it is also an issue of political economics
A few places around the world do see increasing rates of growth in a positive sense. But globally, there is also a negative change in income distribution. The reality unfortunately is that the gap between the rich and poor is widening. For example:
About 0.13% of the world’s population controlled 25% of the world’s assets in 2004.
20% of the world’s population consume 86% of the world’s goods while 80% of humanity gets just the remainder 14%.
The first group has 13% of the world's population and receives 45% of the world's PPP income. This group includes the United States, Japan, Germany, France and the United Kingdom, and comprises 500 million people with an annual income level over 11,500 PPP$.
The second group has 42% of the world's population and receives only 9% of the world PPP income. This group includes India, Indonesia and rural China, and comprises 2,100 million people with an income level under 1,000 PPP$. (See Milanovic 2001, p.38).
As of May 2005, the 125 richest people in the world have assets that exceed the combined gross domestic product of all the least developed countries (calculation based on data from list of countries by GDP (PPP) and list of billionaires).
The total wealth of the top 8.3 million people around the world “rose 8.2 percent to $30.8 trillion in 2004, giving them control of nearly a quarter of the world’s financial assets.”
In other words, about 0.13% of the world’s population controlled 25% of the world’s assets in 2004.
Half the world — nearly three billion people — live on less than two dollars a day.
· The GDP (Gross Domestic Product) of the poorest 48 nations (i.e. a quarter of the world’s countries) is less than the wealth of the world’s three richest people combined.
· Nearly a billion people entered the 21st century unable to read a book or sign their names.
· Less than one per cent of what the world spent every year on weapons was needed to put every child into school by the year 2000 and yet it didn’t happen.
· 1 billion children live in poverty (1 in 2 children in the world). 640 million live without adequate shelter, 400 million have no access to safe water, 270 million have no access to health services. 10.6 million died in 2003 before they reached the age of 5.
. As the world starts to globalize, it is accompanied by criticism of the current forms of globalization, which are feared to be overly corporate-led. As corporations become larger and multinational, their influence and interests go further accordingly. Being able to influence and own most media companies, it is hard to be able to publicly debate the notions and ideals that corporations pursue. Some choices that corporations take to make profits can affect people all over the world. Sometimes fatally.
Conclusion : What is the challenge?

Developed countries have low tariffs on industrial and service imports and high tariffs (or other forms of protection) on agricultural imports. Developing countries have substantial tariffs on industrial and service imports and on some agricultural imports. In the Doha round, developed countries are saying to developing ones: "You must make cuts in industrial, service and agricultural tariffs, and then we will make cuts in our agricultural tariffs and other agricultural supports. This will give you better market access for your agricultural exports, in line with your comparative advantage; and we will get better market access for our industrial, service and agricultural exports."

The developed countries are insistent that developing countries make big cuts in protection on non-agricultural imports, so much so as to yield the acronym Nama (non-agricultural market access). The developed countries are making a big push to get developing countries to accept Nama proposals.
Most developing countries face serious dangers of de-industrialisation if they accept the basic terms of this negotiation. They risk becoming more specialised than at present in the production of primary commodities and simple, labour-intensive products, and even less diversified in the production of more complex, rich country goods.
So the developing countries should strenuously resist the Nama agenda. They should push for rules that allow developing countries more latitude to set tariff levels in line with the maturity of their industries, and with variation rather than uniformity in tariffs across industries in line with differences in the time needed for upgrading. And they should push for relaxation of Trips.
The Nama may suit the collective interest of developed countries quite well, but it would be a bad result for the world. I take it as given that the world interest (at least of the human species) favours a more equity and equal distribution of income and wealth. My argument is that faster, catch-up economic growth and industrialisation in developing countries is unlikely in conditions of free trade.
The issue of complete deregulation allows corporations to benefit but at the possible expense of people in that nation or region if that deregulation means relaxation of environmental rules, health and educational services including control of natural resources and energy. Neither seems to answer the notion of fairness, though. Often those nations that promote free trade for all, want protectionism for themselves.
Globalization can be seen most clearly in the quickening pace and scope of international commerce. Global exports as a share of global domestic product have increased from 14 percent in 1970 to 24 percent today, and the growth of trade has consistently outpaced growth in global output.
Poverty trends have worsened. The number of poor people living on less than US$1.00 a day rose from 1,197 million in 1987 to 1,314 million in 1997, that is 20% of the world’s population. Another 25%(1.6 billion) of world’s population survive on between US$1 and $2 per day (UNHDR 1999).
The richest fifth of the world’s people consume 86% of all goods and services, while the poorest fifth are left with just over 1%. The wealthiest fifth also enjoy 82% of the export trade and 68 % of Foreign Direct Investment, the bottom fifth, just over 1%(UNHDR 1999).
When we talk about global market, global trade, global investment and global culture in the next decade, we want to see this statistic being reversed.
I hope I don’t confuse you with the perspective of the other side of a coin. So I would like to end my presentation with another story.

An architect, a surgeon, and economist. The surgeon said, 'Look, we're the most important. God is a surgeon because the very first thing God did was to extract Eve from Adam's rib.'
The architect said, 'No, wait a minute, God is an architect. God made the world in seven days out of chaos.'
The economist smiled, 'And who made the chaos?'

Thank you for the opportunity to share my view with you today, and I wish you the best of luck.






Reference
Boli, John and Lechner, Frank J. 2000. The Globalization Reader. Oxford: Blackwell Publisher.
Bagdikian, Ben H. 2004. The Media Monopoly. 3rd Ed. Boston : Beacon Press,.
Friedman, Thomas. What the World Needs Now, New York Times, March 28, 1999.
Goldsmith, Edward and Mander, Jerry. 1996. The Case against the Global Economy. San Francisco: Sierra Club Books.
Herman, Edward S. and McChesney, Robert W. 1998. The Global Media. London: Cassell Wellington House.
Korten, David C. 1995.When Corporations Rule the World. West Hartford : Kumarian Press, Inc.
United Nations. 2004. The UN Human Development Report. New York: United Nations.
www.ftawatch.org
www.maketradefair.com.
www.oxfam.org